ทำไมเว็บไซต์ E-Commerce ควรใช้ WordPress มากที่สุด

ทำไมเว็บไซต์ E-Commerce ควรใช้ WordPress มากที่สุด

อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นก้าวกระโดดที่สามารถพลิกธุรกิจให้เหมือนเสือติดปีก หรือเป็นได้แค่หงษ์ปีกหักได้ในเวลาอันรวดเร็ว ปัจจุบันสัดส่วนของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) อยู่ที่ 45.4% ของจำนวนเว็บไซต์ทั้งหมด ซึ่งในปี 2017 หรือ 2560 คาดว่ายอดขายจากอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ทั่วโลกจะอยู่ที่ 2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วน 8.2% จากยอดขายปลีกทั่วโลก ซึ่งเป็นตัวเลขที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญมากๆครับ ดังนั้นเราไม่ต้องสงสัยเลยว่าธุรกิจออนไลน์ หรืออีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) จะมีบทบาทและอิทธิพลต่อการทำธุรกิจต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน

แล้วเทคโนโลยี หรือ Platform อะไรที่มีชื่อเสียงที่สุดในวงการทำเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce)

ผู้นำในตลาด E-Commerce ก็คือ WooCommerce มีสัดส่วนคิดเป็น 42% ลองลงมาคือ Magento มีสัดส่วน 13% เท่ากับ Shopify ที่ 13% เช่นเดียวกัน นอกนั้นมีสัดส่วนไม่ถึง 10% คงไม่ต้องสงสัยว่า WooCommerce จะครองอันดับหนึ่งได้ในเวลาอันรวดเร็ว และทิ้งห่างจาก Platform อื่นๆอย่างไม่เห็นฝุ่น

เทคโนโลยีการพัฒนาเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยมสูงสุด

เว็บไซต์ที่พัฒนาด้วย WooCommerce มากถึง 617,027 เว็บไซต์ ซึ่งเป็นที่นิยมสูงสุด โดยจากสองภาพด้านบนเราได้ยกตัวอย่างเฉพาะเว็บไซต์ที่พัฒนาด้วยโครงสร้างของระบบ CMS (Content Management System) ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพในการไต่อันดับ หรือทำอันดับ SEO ได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังสามารถสร้างหรือพัฒนาเว็บไซต์ระบบอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ได้ในเวลาอันรวดเร็ว และจะขยายขีดความสามารถเพิ่มเติมได้อย่างไม่จำกัด มี Web Hosting รองรับมากมายในราคาถูกมากๆ ต่างกับการเขียน Code ขึ้นมาเองใหม่หมดตั้งแต่บรรทัดแรก ซึ่งใช้เวลานานกว่า และยังมีช่องโหว่มากมายเพราะมีนักพัฒนาไม่กี่คน และไม่ค่อยพัฒนาหรือแก้ไขช่องโหว่อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับระบบ CMS (Content Management System)

และที่ผมตั้งชื่อเรื่องไว้ว่า ทำไมเว็บไซต์ E-Commerce ควรใช้ WordPress มากที่สุด ก็เพราะว่า WooCommerce นั้นเป็น Plugin ส่วนเสริมความสามารถด้านอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ให้กับ WordPress นั่นเอง ซึ่งทั้งหมดเป็น Open Source ฟรีทั้งสองระบบครับ ทำให้ต้นทุนในการพัฒนาเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ของเราต่ำมากเมื่อเทียบกับการจ้างเขียน Code ด้วยภาษาต่างๆขึ้นมาใหม่ นอกจากนี้ WordPress ยังมีส่วนแบ่งตลาดหรือ Market Share ที่ 25% จากเว็บไซต์ที่พัฒนาทั่วโลกและทุกระบบ และคิดเป็น 67% เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ในระบบ CMS ทั้งหมด ด้วยความนิยมขนาดนี้ทำให้เรามั่นใจได้ว่าระบบอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ของ WooCommerce จะต้องได้รับการพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆ และมีคุณสมบัติที่ได้มาตรฐานยิ่งๆขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน เราในฐานะคนใช้งานก็อุ่นใจ ไม่ต้องร้อนๆหนาวๆกับบรรดาโปรแกรมเมอร์ที่เคารพรักว่าจะหยุดพัฒนาหรือหายหน้าหนีเราไปแต่อย่างใด

นอกจากนี้ WooCommerce ในปัจจุบันนั้นใช้งานได้ง่ายกว่าเดิม รองรับสินค้าได้อย่างไม่จำกัด ซึ่งข้อนี้หลายคนที่พัฒนาเว็บไซต์ด้วย Magento จะเถียงว่าไม่จริง WooCommerce นั้นรองรับไม่กี่สินค้าก็หนักและช้าแล้ว อย่างไรก็ลองเข้าไปดูข้อมูลใน Google แล้วรองค้นหาข้อมูลดูนะครับ เดี๋ยวนี้ใส่สินค้าเข้าไปเป็นแสนตัวยังรับได้ ขึ้นกับ Server หรือ Hosting ครับ ในทางกลับกัน Magento กลับเริ่มต้นติดตั้งยุ่งยากกว่า และหา Server รองรับได้ทันทีในประเทศไทยไม่มาก และส่วนต่อขยายหรือ Extension นั้นมีน้อยกว่าฝั่ง WordPress เป็นอย่างมาก ราคาก็แพงกว่าด้วยครับ ผมตอบในฐานะที่พัฒนาทั้ง WordPress และ Magento มาแล้ว ถ้าเป็นสมัยก่อนผมยอมรับว่า Magento เหนือกว่าในด้าน E-Commerce จริง แต่ปัจจุบัน WooCommerce ไล่ทันแล้ว ขึ้นอยู่กับความถนัดครับ และข้อมูลที่ปรากฏว่า Platform ไหนคนใช้งานมากที่สุดก็เป็นเครื่องพิสูจน์อยู่แล้วเพราะมันคือ Facts จากทั่วโลกครับ ผมมักจะบอกลูกค้าว่าใช้ WordPress เถอะราคาทำเว็บถูกว่า Magento เยอะ ใช้งานก็ง่ายกว่า และเก่งเรื่องทำ Blog หรือบทความกว่าเยอะมาก และถ้าคุณต้องการระบบ E-Commerce ดีๆ และระบบจัดการ Blog ดีๆ ติด SEO เร็วๆ คำตอบส่วนตัวของผมคือ WordPress ครับ

About the author

Support Dept administrator