ความสามารถของเว็บไซต์ที่น่าสนใจเมื่อเปลี่ยนมาใช้ https นั่นก็คือ การที่เว็บไซต์มีการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ ทำให้เว็บไซต์มีความสามารถที่มากขึ้นใกล้เคียงกับความเป็นแอพพลิเคชั่น หรือที่เรียกกันว่า “Progressive Web Apps” ซึ่งเป็นแนวทางของการทำเว็บไซต์ให้ออกมาเหมือนแอพพลิชั่นนั่นเอง ตัวอย่าง การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Bluetooth LE ผ่าน Bluetooth API
การเลือก Use a symbolic link from private_html to public_html – allows for same data in http and https หมายถึง การเชื่อมโยงของ public_html กับ private_html ให้ใช้ข้อมูลชุดเดียวกัน ถ้าเราอัพไฟล์ไปไว้ที่ plublic_html จะสามารถเรียกดูได้ทั้ง http และ httpsนั่นเอง
Certificate Type ประเภทใบรับรอง ที่แนะนำให้เลือกเป็น SHA256 นั่นก็เพราะว่า Google Chrome ออกมาประกาศนโยบาย ว่าใบรับรอง SSL ที่ใช้ SHA-1 ไม่ปลอดภัยตั้งแต่ต้นปี 2015 เป็นต้นไป
จากนั้นคลิก Save ด้านล่างสุด
ระบบจะแสดงหน้า Certificate and Key Saved. หากยังไม่ขึ้นว่า Certificate and Key Saved. ให้กลับไป Advanced Features เลือกเมนู SSL Certificates อีกครั้ง จากนั้นทำตามขั้นตอนเดิมจนกว่าจะขึ้น Certificate and Key Saved.
หากระบบทำการสร้าง Certificate and Key เรียบร้อยเมื่อเลือกเมนู SSL Certificates อีกครั้ง ด้านล่างสุดก่อนถึงปุ่ม Save จะมีอายุของ Certificate and Key โดยปกติระบบจะทำการต่ออายุของ Certificate and Key ให้อัตโนมัติ และจะแสดงวันที่จะทำการต่ออายุให้อัตโนมัติในอีกกี่วัน
ไปยังส่วนล่างสุดของเว็บไซต์เพื่อสร้างไฟล์ .htaccess ในส่วนของ Create New File พิมพ์คำว่า .htaccess จากนั้นกด Create
ระบบจะพามายังส่วนของการแก้ไขไฟล์
เพิ่ม code ด้านล่างนี้ลงไป
# BEGIN Force http to https
RewriteEngine On
RewriteCond %{HTTPS} off
RewriteRule (.*) https://%{HTTP_HOST}%{REQUEST_URI} [R,L]
# END Force http to https
เรามาเริ่มวิธีที่ 1 กันครับ การส่ง Website Url ด้วยตัวเอง
Search Engines Google
1. การส่งเว็บไซต์ให้ Google เข้า Google พิมพ์ submit website google เราจะเจอที่ที่ให้เราส่งเว็บไซต์ไป ซึ้งอยู่ลำดับแรกเลย ให้เรา เพิ่ม URL เว็บไซต์ของเราลงไปแล้วกดส่ง เพียงเท่านี้ Bot ของ Google ก็จะรู้จักเว็บไซต์ของเราแล้วครับ
User Experience ในการใช้งานบน Mobile Site อาจไม่เต็มที่นัก เพราะเน้นแค่ให้ Layout เปิดได้บนมือถือเฉย ๆ บางส่วนเช่น Navigation, Slider อาจจะยังใช้บนมือถือไม่ได้
บาง Device ไม่รองรับ Media Query ทำให้เปิดไม่เจอเวอร์ชั่น Responsive ถึงแม้จะแก้ได้โดยการใช้ Javascript ช่วย แต่ทำให้เว็บหนักขึ้นไปอีก ดังนั้นทำแบบ Mobile First จะครอบคลุมมากกว่า
เป็นวิธีที่ค่อนข้างฉาบฉวย คือทำแบบนี้จะไม่ใช่ Responsive ที่ทำให้ User บนมือถือได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง (อาจจะให้โทษมากกว่า)
RESPONSIVE MOBILE SITE
การทำเว็บไซต์ Responsive แบบ Responsive Mobile Site (คลิกเพื่อดูรูปใหญ่)
วิธีนี้เป็นการทำ Responsive Website เหมือนหว่านเมล็ดเป็น Mobile Site (เว็บไซต์ที่ทำขึ้นเพื่อรองรับหน้าจอมือถือโดยเฉพาะ) แยกออกมาก่อน คนที่เข้าทาง Desktop ก็เจอเว็บเก่า ส่วนคนที่เข้าจากมือถือก็เจอเว็บใหม่ จากนั้นค่อย ๆ ทำการพัฒนา Mobile Site ตัวนี้ให้สามารถดูใน Tablet และ Desktop ได้สวยงาม ซึ่งพอเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็ย้ายคนที่เข้าทาง Desktop ให้เปิดมาเจอเว็บไซต์ใหม่ด้วย และทิ้งเว็บเก่าไป
เว็บไซต์ใหญ่ ๆ ในต่างประเทศ เช่น BBC ก็ใช้วิธีนี้ครับ
ข้อดีของ RESPONSIVE MOBILE SITE
ไม่ต้องกลัวว่าเว็บแบบ Responsive จะทำให้เกิดปัญหากับ User เก่าที่เข้าทางคอม เพราะเว็บเก่ายังใช้ได้อยู่
มีเวลาให้ทีม Designer ค่อย ๆ เรียนรู้ในการดีไซน์เว็บไซต์ที่เหมาะกับ Responsive โดยใช้เว็บ Mobile site เป็นที่ทดสอบ
ช่วยลดขนาดเว็บให้เล็กลงกว่าเดิมได้ โดยการตัดทอน Element เก่าใน Desktop Site ที่ไม่จำเป็นออก
ข้อเสียของ RESPONSIVE MOBILE SITE
การทำ Mobile Site แยกจากเว็บหลัก อาจทำให้เกิดปัญหาเรื่อง URL Redirect, SEO เป็นต้น ซึ่งในความเห็นของแอดมิน (Designil) ปัญหานี้เป็น Cost ที่เราต้องจ่ายเพื่อไปสู่จุดที่ดีขึ้นครับ
การทำ Mobile Site ขึ้นมาได้สำเร็จ ไม่ได้แปลว่าในอนาคตจะสามารถพัฒนาต่อเป็น Desktop Site เพื่อใช้แทนเว็บเก่าได้ง่าย จะเจอปัญหาทั้งเรื่องระยะเวลา ความสามารถของทีมงาน และแรงกดดันในการเปลี่ยนจากผู้อ่านเก่า ๆ
องค์กรบางแห่งไม่อดทนพอที่จะผลักดันให้ Mobile Site กลายเป็น Desktop Site ได้ในอนาคต ทำให้โปรเจคโดนทิ้งครึ่ง ๆ กลาง ๆ เนื่องจากโดนตัดเงินทุนก่อน
“จากสถิติพบว่า คนประมาณ 7% ที่เข้ามาในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ จะเข้าไปดูหน้า About Us เหมือนจะน้อยนะครับ แต่ว่า 30% ของกลุ่มนั้น เป็นกลุ่มที่จะเปลี่ยนกลายเป็นลูกค้าเรา ดังนั้นอย่าลืม มีหน้า About Us แล้วตั้งใจเขียนด้วย”